หนังสือเล่มนี้ผมไปเจอตอนที่กำลังหาข้อมูลเพื่อเรียนรู้ด้าน Embedded System พอได้ลองอ่านคร่าวๆ แล้วรู้สึกว่ามันจัดวางเนื้อหาได้ดีมาก สามารถอธิบายเรื่อง Embedded System ที่ค่อนข้างยากให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่เนื้อหาของมันก็หนักแน่นในเวลาเดียวกัน
กรณี R ยิ่งค่า R สูงขึ้น กระแสไฟฟ้าก็จะไหลน้อยลง กรณี C ยิ่งค่า C ต่ำลง กระแสไฟฟ้าก็จะไหลน้อยลง กรณี L ยิ่งค่า L สูงขึ้น กระแสไฟฟ้าก็จะไหลน้อยลง
เมื่อพิจารณาจากมุมมองของความถี่ สำหรับค่า RLC ที่กำหนดไว้ R จะไม่ขึ้นกับความถี่ C ยิ่งความถี่สูงขึ้น ความต้านทานก็จะยิ่งน้อยลง (กระแสไฟฟ้าไหลมากขึ้น) L ยิ่งความถี่สูงขึ้น ความต้านทานก็จะยิ่งมากขึ้น (กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก)
B คือ Base E คือ Emitter C คือ Collector เมื่อ B เปิดสวิตช์ มันจะเชื่อมต่อ E-C เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน และถ้าไม่เปิดก็จะตัดการเชื่อมต่อ ในที่นี้ เราจะกำหนดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านได้อย่างไร? คำตอบคือขึ้นอยู่กับว่าเราจ่ายแรงดันไฟฟ้าเข้าไปที่ B-E มากน้อยแค่ไหน!!
ขึ้นอยู่กับปริมาณแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปที่ Base จะทำให้เกิดบริเวณต่างๆ ได้แก่ บริเวณอิ่มตัว บริเวณใช้งาน และบริเวณตัด โดยบริเวณใช้งาน : กระแสไฟฟ้าระหว่าง C-E จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามค่าอินพุตของ B! บริเวณตัด : แรงดันไฟฟ้าของ B ต่ำเกินไปจนกระแสไฟฟ้าระหว่าง C-E ไหลผ่านไม่ได้! บริเวณอิ่มตัว : แรงดันไฟฟ้าของ B สูงเกินไปจนกระแสไฟฟ้าระหว่าง C-E ไหลผ่านไม่ได้อีกต่อไป!
Low Active เขียนแทนด้วย CS(Chip Select)_ / ฯลฯ และหมายถึงการทำงานเมื่อแรงดันไฟฟ้าต่ำ ในทางกลับกัน High Active หมายถึงการทำงานเมื่อแรงดันไฟฟ้าสูง
ดังรูป ถ้า Digital Chip เป็นตัวต้านทานขนาดใหญ่ ใน Low Active Pull up จะทำให้แรงดันไฟฟ้า 0 ถูกจ่ายไปยัง Digital Chip เมื่อสวิตช์เปิด และ Pull down จะทำให้แรงดันไฟฟ้าสูงถูกจ่ายไปยังชิปเมื่อสวิตช์ปิด ใน High Active จะตรงกันข้าม!!
Pull up & Pull down เป็นการทำงานที่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกำหนดระดับค่าเริ่มต้น (default level) เป็นอะไร ในความเป็นจริง ชิปในโลกภายนอกอาจทำงานได้แม้มีไฟฟ้าสถิตย์เพียงเล็กน้อย ถ้าคิดว่ามอเตอร์นั้นคือปืนใหญ่ ก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ได้